พระชนม์ชีพระหว่างลี้ภัย ของ จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี

จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีในวอชิงตัน ดี.ซี. ในปีค.ศ. 2016

หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าชาห์ จักรพรรดินีผู้ทรงลี้ภัยยังคงประทับอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาเกือบสองปี ประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตได้ถวายพระราชวังคุบเบห์ในกรุงไคโรแก่พระองค์และพระราชวงศ์ ไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1981 องค์จักรพรรดินีพร้อมพระราชวงศ์ได้เสด็จออกจากอียิปต์ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเมื่อทราบได้ทูลเชิญให้เสด็จมาประทับที่สหรัฐอเมริกา[24]

ในช่วงแรกพระองค์ประทับที่วิลเลียมส์ทาวน์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ต่อมาทรงซื้อบ้านที่ประทับในกรีนิช ในรัฐคอนเนตทิคัต หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไลลา ปาห์ลาวี พระราชธิดาองค์สุดท้องในปีค.ศ. 2001 พระองค์ทรงซื้อบ้านหลังเล็กที่โปโตแมค ในรัฐแมริแลนด์ ใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อที่จะได้ประทับใกล้ชิดกับพระโอรสและพระนัดดา ขณะนี้องค์จักรพรรดินีทรงแบ่งเวลาประทับทั้งที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และกรุงปารีส พระองค์ยังทรงจาริกแสวงบุญเป็นประจำในเดือนกรกฎาคมของทุกปีไปยังสุสานของพระเจ้าชาห์ที่มัสยิดอัล-รืฟะห์อิในกรุงไคโร

องค์จักรพรรดินีทรงสนับสนุนงานการกุศล รวมทั้ง Annual Alzheimer Gala IFRAD (กองทุนสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์)ที่กรุงปารีส[25]

องค์จักรพรรดินียังคงปรากฏพระองค์ในงานพระราชพิธีของเชื้อพระวงศ์ต่างชาติ ดังเช่น พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโกกับชาร์ลีน วิตต์สท็อกในปีค.ศ. 2011, พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กกับแมรี โดนัลด์สันในปีค.ศ. 2004 และพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายนิโกเลาส์แห่งกรีซและเดนมาร์กกับตาเตียนา บลัทนิคในปีค.ศ. 2010

พระราชนัดดา

องค์จักรพรรดินีทรงมีพระราชนัดดา 3 พระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวี พระราชโอรสองค์โตกับยัสมิน อาเตมัด-อามินี พระชายา ได้แก่

องค์จักรพรรดินีทรงมีพระราชนัดดาอีกหนึ่งพระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวี พระราชโอรสองค์รองกับราฮา ดีเดวาร์[26] ผู้เป็นพระสหาย ได้แก่

พระอนุทิน

หน้าปกหนังสือเรื่อง An Enduring Love: My Life with the Shah ฉบับตีพิมพ์ภาษาไทย

ในปีค.ศ. 2003 องค์จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีทรงเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวในความทรงจำของพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์ และเป็นนักศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ เมื่ออายุ 21 ปี จนได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าชาห์และกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน ทรงเขียนในชื่อเรื่องว่า An Enduring Love: My Life with the Shah (ภาษาไทย: ความทรงจำของฟาราห์ ปาห์ลาวี) พระอนุทินของอดีตองค์จักรพรรดินีเป็นที่สนใจในต่างประเทศ ได้กลายเป็นหนังสือขายดีในยุโรป ด้วยข้อความที่ตัดตอนที่ปรากฏในนิตยสารข่าวและผู้เขียนที่ทรงปรากฏพระองค์ในรายการทอล์กโชว์และสื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม มีความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ซึ่งมีการรวม Publishers Weeklyที่ได้วิจารณ์ว่า "ตรงไปตรงมา การอธิบายอย่างตรงๆ" และThe Washington Post ได้วิจารณ์ว่า "น่าทึ่ง"

ทางเดอะนิวยอร์กไทมส์ อีลีน สชิโอลิโน หัวหน้าแผนกเอกสารประจำปารีส ได้นำหนังสือมาโดยไม่ค่อยประจบในการแสดงความคิดเห็น ได้บรรยายว่า "แปลได้ดี"แต่"เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความขมขื่น"[27] ทางNational Review โดยเรซา บาเยกาน นักเขียนชาวอิหร่านได้ยกย่องว่าเป็นบันทึกที่ "ดาษดื่นไปด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อชาติของพระองค์"[28]

ภาพยนตร์

ในปีค.ศ. 2008 ภาพยนตร์เรื่อง The Queen and I ได้ออกฉาย ซึ่งภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย นาฮิด เพิร์สซัน ซาร์เวสทานี ผู้กำกับชาวสวีเดนเชื้อสายอิหร่าน ซึ่งเคยเป็นผู้ต่อต้านระบอบกษัตริย์และมีส่วนในขบวนการล้มล้างราชวงศ์ปาห์ลาวี ภาพยนตร์ได้ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของจักรพรรดินี ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์ รวมทั้งความเข้าอกเข้าใจกันของผู้หญิงสองคน ที่แม้จะเคยเป็นศัตรูกัน แต่ก็กลายเป็นผู้ที่มีชะตาชีวิตคล้ายคลึงกัน คือต้องระหกระเหินออกจากบ้านเกิดเมืองนอน[29]

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี http://www.parlament.gv.at/PAKT/VHG/XXIV/AB/AB_105... http://irancollection.alborzi.com/ http://orderofsplendor.blogspot.com/2012/02/weddin... http://abcnews.go.com/International/story?id=44069... http://books.google.com/books?id=ZlptU4A2HkUC&prin... http://books.google.com/books?id=pTVSPmyvtkAC&pg=P... http://www.nationalreview.com/articles/210633/shah... http://www.nytimes.com/2004/05/02/books/the-last-e... http://www.payvand.com/news/05/oct/1085.html http://www.payvand.com/news/07/mar/1060.html